Chef’s Table กินข้าวบ้านเพื่อนกับ เชฟอาร์ต

Home »  trip »  food »  Chef's Table »  Chef’s Table กินข้าวบ้านเพื่อนกับ เชฟอาร์ต

On June 2, 2015, Posted by , In Chef's Table,people, By ,,,, , With Comments Off on Chef’s Table กินข้าวบ้านเพื่อนกับ เชฟอาร์ต

Chef’s Table กินข้าวบ้านเพื่อนกับ เชฟอาร์ต

วันก่อนได้ไปลองทานอาหารแบบ Chef’s Table ที่ทำโดย เชฟอาร์ต ศุภมงคล ศุภพิพัฒน์ ตอนแรกที่ได้ฟังก็ยังงงๆอยู่ว่าจะเป็นรูปแบบยังไง โต๊ะของเชฟเหรอ? จะกินกันยังไงล่ะนั่น? เรานัดเจอกับพวกพ้องแถวเอกมัยก่อนเพื่อรวมตัวเดินทางไปพร้อมกัน พอไปถึงก็ หา? นี่มันบ้านคนไม่ใช่ร้านอาหารนี่? เลยคิดว่าจะต้องมารับใครอีกคนมั้ง? แต่ไม่ใช่ ที่นี่แหละที่ๆเราจะมาทานอาหารกัน…

เชฟอาร์ต-ศุภมงคล-ศุภพิพัฒน์

เชฟอาร์ต ศุภมงคล ศุภพิพัฒน์ Celebrity Chef ที่ทำงานเป็นที่ปรึกษาให้ด้านอาหารให้กับ สิงห์

พอเข้าไปในบ้านก็ได้เจอชายหนุ่มใส่ผ้ากันเปื้อนยิ้มกว้างอย่างอบอุ่นต้อนรับ เค้าคนนี้แหละคือ เชฟอาร์ต ศุภมงคล ศุภพิพัฒน์ เป็น Celebrity Chef ที่ทำงานเป็นที่ปรึกษาด้านอาหารให้กับ สิงห์ คอร์เปอเรชั่น เป็นผู้คิดเมนูให้กับร้าน EST.33 เป็นอาจารย์พิเศษที่ Le Cordon Bleu และเคยเปิดร้าน Zeist ร้านอาหารสไตล์เฟรนช์-อิตาเลียน แถวสุขุมวิท จะเป็นผู้เปิดครัวที่บ้านทำอาหารให้เราได้ทานกันในวันนี้

เชฟอาร์ต-ศุภมงคล-ศุภพิพัฒน์

เชฟอาร์ต ทำอาหารด้วยความชำนาญ

หลายคนอาจสงสัยแล้วตกลง Chef’s Table มันเป็นยังไง? จริงๆแล้วก็สามารถแปลได้ตรงตัวคือ โต๊ะของเชฟ โดยปกติในร้านอาหารเชฟจะทำอาหารกันในครัว พอหิวก็จะพักสลับกันไปทานอาหาร โดยจะมีโต๊ะซึ่งตั้งอยู่ในครัวนั่นแหละเป็นที่นั่งพักทานอาหารกันของเชฟเราจึงเรียกว่า Chef’s Table และบางครั้งโต๊ะนี้ก็จะเป็นที่ให้เหล่าเชฟมานั่งปรึกษานั่งลองชิมเพื่อคิดค้นสร้างสูตรอาหารใหม่ๆกันด้วย นอกจากนี้ในร้านอาหารอิตาเลียนที่เราเห็นในหนังมาเฟียก็จะมีโต๊ะอย่างนี้ในครัวหลังร้านให้พวกเจ้าพ่อมานั่งกินกันไปคุยธุรกิจกันไปในแบบส่วนตัว

Chef Art-ศุภมงคล

เชฟอาร์ต กำลังปรุงอาหารกันให้เห็นกันใกล้ๆ

ดังนั้น Chef’s Table จึงเป็นรูปแบบการทานอาหารที่เหมือนเราได้ไปนั่งทานกันที่โต๊ะในครัวของเชฟ ได้เห็นการสร้างสรรค์อาหารกันจะๆใกล้ๆตรงหน้า ได้พูดคุยเฮฮาในบรรยากาศแบบส่วนตัวที่อบอุ่นเป็นกันเอง มันจึงเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่มากที่เราไม่สามารถหาได้ในร้านอาหารปกติทั่วไป

เชฟอาร์ต-Chef's Table

เชฟอาร์ต Chef’s Table บรรยากาศครัวที่เรามานั่งทานกันในวันนี้

ระหว่างทำอาหาร เชฟอาร์ต ก็เล่าให้ฟังว่า เค้าเคยเป็นนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติมาก่อนแล้วได้ทุนไปเรียนต่อที่อเมริกา พอตอนใกล้เรียนจบยังไม่รู้จะเรียนต่อด้านไหนดีก็มีเพื่อนแนะนำให้ไปเรียนต่อด้านการทำอาหาร ซึ่งตอนแรกเชฟเองก็ยังไม่เคยรู้ว่าเค้ามีเรียนด้านนี้กันด้วย แต่ด้วยความที่ชอบทานอาหาร และตอนช่วงนั้นก็ชอบดูพวกหนังอิตาเลียนมาเฟียดูแทบทุกเรื่อง ซึ่งทุกเรื่องก็จะมีฉากที่เหล่ามาเฟียไปคุยกันในร้านอาหาร ก็เลยทำให้ประทับใจและจุดประกายให้มาเรียนต่อทางด้านนี้ ด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจไปสู่ความฝัน

เชฟอาร์ต-ศุภมงคล-ศุภพิพัฒน์

ระหว่างทำอาหาร เชฟอาร์ต ก็เล่าให้ฟังว่าทำไมเค้าถึงมาเป็นเชฟ

โดยในวันนี้ เชฟอาร์ต จะมาทำอาหารโดยอาหารที่ปรุงออกมาแต่ละจานจะต้องมีการจับคู่ทานให้เข้ากับ Syder Bay รสชาติต่างๆด้วย เป็นโจทย์ที่ท้าทายมากเหมือนเราได้อยู่ในรายการแข่งทำอาหารเลย เราจะได้เห็นเทคนิคการทำอาหาร และความคิดสร้างสรรค์ของอาหารในแต่ละจานที่เชฟทำ

Syder Bay

Syder Bay รสชาติต่างๆที่ เชฟอาร์ต ต้องทำอาหารให้ทานคู่กัน

ตอนรออาหารจานแรกก็มีอาหารว่างง่ายๆเป็น ขนมปังฝรั่งเศสทานคู่กับน้ำมันมะกอก(Extra Virgin Olive Oil)ที่ใส่น้ำส้มสายชูบัลซามิก โดย เชฟอาร์ต แนะนำให้ใช้มือฉีกขนมปังแล้วเอาส่วนเนื้อขาวๆจิ้มทั้งน้ำมันมะกอกและน้ำส้มสายชูเพื่อตัวขนมปังจะได้ซึมซับความอร่อยเต็มที่ ได้ความรู้ได้เคล็ดลับเพราะมีเชฟมาแนะนำกันตรงหน้าเลย

baguette-olive oil-balsamic

อาหารว่างง่ายๆแบบอิตาเลียน

เชฟอาร์ต ปรุงอาหารต่อไปซักพักก็ยกอาหารจานแรกมาวางที่โต๊ะ เป็นกุ้งผัดกระเทียมในน้ำมันมะกอกแล้วเพิ่มรสชาติด้วยพริกแห้งโดยจะให้ทานคู่กับขนมปัง

Chef's Table

Chef’s Table จานแรก กุ้งผัดกระเทียมในน้ำมันมะกอก

พอได้ลองจานแรกนี้เป็นจานที่ทำให้เรารู้สึกมีความอยากอาหารเลย เนื้อกุ้งเด้งๆด้วยความสดคลุกเคล้ากับความหอมมันของกระเทียมแล้วแถมด้วยความร้อนแรงนิดๆของพริกแห้งที่ใส่มาด้วยได้เปิดต่อมน้ำลายของเราอย่างเต็มที่ พอทานหมดก็รู้สึกว่าน้ำย่อยมารอทำให้เราพร้อมที่จะทานอาหารจานต่อไปเลย

Chef's Table

Chef’s Table จานแรก กุ้งผัดกระเทียมในน้ำมันมะกอก

จานต่อมาเป็น Butter poached lobster, seared diver scallop caviar with apple salad, chanterelle mushroom, apple reduction n lobster sauce โดยจานนี้ เชฟอาร์ต ได้สร้างสรรค์ให้เข้ากันกับ Syder Bay Pop กลิ่นแอปเปิ้ล ซึ่งเชฟได้นำแอปเปิ้ลมาเป็นส่วนประกอบของอาหาร เพื่อเป็นการเข้าคู่กันกับ Syder Bay ทั้งแอปเปิ้ลสดในสลัดและซอสแอปเปิ้ล

เชฟอาร์ต

Chef’s Table จานนี้ เชฟอาร์ต ได้ปรุงให้เข้ากับ Syder Bay Pop

โดยจานนี้เสิร์ฟมาในจานแก้วมีลายคลื่นให้ความรู้สึกเหมือนเหล่าอาหารทะเลยังแหวกว่ายอยู่ในทะเล พอได้ลองแล้วความหวานของอาหารทะเลสดๆเข้ากันดีความหอมเปรี้ยวของแอปเปิ้ล ทานแล้วเข้ากันให้ความรู้สึกสดชื่นมาก ทานเนื้อล็อบสเตอร์จุ่มซอสแอปเปิ้ลไป สลับเอาเห็ดกับสลัดแอปเปิ้ลทานกับล็อบสเตอร์โฟม ยก Syder Bay Pop ขึ้นกลั้วปากดื่ม แล้วกลับมาทานหอยเชลล์โรยหน้าคาเวียร์ทุกอย่างก็หมดไปอย่างรวดเร็วเข้ากันดีอย่างที่เชฟบอกจริงๆ

Chef's Table

Chef’s Table – Butter poached lobster, seared diver scallop caviar with apple salad, chanterelle mushroom, apple reduction n lobster sauce

ต่อจากนั้นเชฟก็ปรุงอาหารจานถัดไปเป็น Homemade pasta with crab lump, fennel n cherry tomato เป็นเส้นพาสต้าทำเองผัดกับเนื้อปูก้อนโตชิ้นใหญ่ๆ

เชฟอาร์ต-ศุภมงคล-ศุภพิพัฒน์

เชฟอาร์ต กำลังจัดจาน Homemade pasta with crab lump

พาสต้าจานนี้ เชฟอาร์ต ก็ได้ปรุงให้เข้ากับ Syder Bay Pop ซึ่งเชฟบอกว่าความเปรี้ยวและความหอมของ Syder Bay รสนี้สามารถเข้ากันได้ดีกับอาหารทะเลด้วย

Chef Art

Chef’s Table – Homemade pasta ที่เข้ากับ Syder Bay Pop

ตอนแรกที่ได้ชิมพาสต้านึกว่าจะเลี่ยนๆมันๆแต่จานนี้ไม่เลย ชีสที่โรยหน้าใส่มากำลังดีได้ความหอมมัน เส้นทำเองก็นุ่มดีมากได้รสของซอสที่ผัดซึมเข้าไปในตัวเส้นเลย เนื้อปูชิ้นโตก็ปรุงได้รสชาติดีเคี้ยวได้เต็มปากเต็มคำจริงๆ จานนี้นึกว่าจะหนักแต่ได้ทานคู่กับ Syder Bay Pop ที่มีรสเปรี้ยวก็ทานได้สบายๆอร่อยคู่กันเลย

Chef's Table

Chef’s Table – Homemade pasta with crab lump, fennel n cherry tomato

จานต่อมาเป็น Duo foie gras with caramelized white peach เป็นฟัวกรา 2 แบบเสิร์ฟมากับพีชเชื่อม

เชฟอาร์ต-ศุภมงคล-ศุภพิพัฒน์

เชฟอาร์ต กำลังจัดจาน Duo foie gras with caramelized white peach

อาหารจานนี้ เชฟอาร์ต ก็ได้ปรุงออกมาให้เข้ากับ Syder Bay Reggae กลิ่น Peach โดยมีการนำเอาพีชมาเป็นส่วนประกอบของอาหารทั้งพีชเชื่อม และตัวซอส

Chef's Table

Chef’s Table – Duo foie gras ที่ทานคู่กับ Syder Bay Reggae

Chef’s Table จานตับฟัวกรา 2 แบบทำออกมาได้นุ่มละมุนลิ้นมากทั้งแบบที่ Sous Vide จะนุ่มเบาละลายหายไปในปากเลย แบบที่ย่างมาก็จะได้ความหอมความกรุปนิดๆด้านนอก ทำให้ได้รสสัมผัสที่แตกต่างกันทั้ง 2 แบบ โดยตอนแรกนึกว่าพีชเชื่อมน่าจะหวานไม่เข้ากันกับฟัวกรา แต่พอได้ชิมแล้วก็ไม่หวานมากแถมความหอมกับความหวานของพีชยังช่วยส่งให้ได้รสชาติฟัวกรามากยิ่งขึ้นด้วย ทำให้เมื่อดื่ม Syder Bay Reggae ไปด้วยแล้วก็ยิ่งเข้ากันๆ

Chef Art

Chef’s Table – Duo foie gras with caramelized white peach

จานถัดไปเป็น Crispy pork belly, pluma iberico n tenerloin with pea puree grilled zucchini n red berry sauce เป็นเนื้อหมู 3 ส่วนในซุปข้นถั่วราดซอด red berry อาหารจานนี้ เชฟอาร์ต ได้สร้างสรรค์ออกมาให้เข้ากับ Syder Bay Jazz รส Red Berry โดยเชฟได้มีการปรุงซอสที่มี Red Berry เป็นส่วนประกอบ เพื่อให้กินเข้ากับเนื้อหมูทั้ง 3 แบบด้วย

เชฟอาร์ต

เชฟอาร์ต กำลังหั่นเนื้อหมูเพื่อจัดจาน Crispy pork belly, pluma iberico n tenerloin with pea puree

โดยส่วนแรกเป็นเนื้อหมูสามชั้นที่มีการนำไป Sous Vide ก่อนถึง 16 ชั่วโมงแล้วค่อยนำมาปรุงต่อ เพื่อให้ไขมันละลายออกไปและเนื้อหมูที่ได้จะสุกหนังกรอบแต่ยังคงนุ่มและชุ่มฉ่ำอยู่ กัดทีหนังกรอบกรุปๆแต่เนื้อยังนุ่มชุ่มฉ่ำมากไม่แห้งเลย ชิ้นถัดมาเป็นเนื้อหมูสเปนส่วนสันคอนำไปอบ โดยหมูสเปนพันธุ์นี้ เชฟอาร์ต เล่าว่าเป็นหมูที่เลี้ยงตามธรรมชาติกินธัญพืชเป็นอาหารทำให้เนื้อที่ได้รสชาติดีหวานหอม เคี้ยวทีก็ได้รสหวานของเนื้อหมูเต็มๆ

Chef's Table

Chef’s Table – Crispy pork belly, pluma iberico n tenerloin with pea puree grilled zucchini n red berry sauce

หมูส่วนสุดท้ายเป็นสันในหมูนำไปปรุงรสแล้วใส่ในถุงสูญญากาศ Poached ทิ้งไว้ให้เครื่องปรุงค่อยๆซึมเข้าไปในเนื้อ เวลากัดทีจะได้รสชาติชุ่มไปทั้งชิ้นกระจายไปทุกส่วน เวลาหั่นหมูแต่ละส่วนกินทีละชิ้นเคล้ากับซุปข้นถั่วให้ได้ความหอมมัน แล้วมาจิ้มกับซอส Red Berry ที่เปรี้ยวหวานกำลังดีเข้ากับเนื้อหมูทั้ง 3 แบบมาก กินไปดื่ม Syder Bay Jazz ไปก็ทำให้ยิ้มไปด้วยรสชาติของความสุขที่เอ่อล้นอยู่ในปาก

Chef Art

เชฟอาร์ต ปรุงหมู 3 ส่วนนี้เพื่อให้ทานคู่กับ Syder Bay Jazz

และแล้วก็มาถึงจานปิดท้าย Chef’s Table เป็นของหวานล้างปาก โดย เชฟอาร์ต ได้ทำ Matcha lava กับไอศกรีมวนิลา โดยเชฟได้นำผงมัชฉะชาเขียวญี่ปุ่นแท้จากไร่บุญรอดมาเป็นส่วนประกอบด้วย

เชฟอาร์ต-ศุภมงคล-ศุภพิพัฒน์

เชฟอาร์ต กำลังตักไอศกรีมวนิลาใส่จาน เพื่อทานคู่กับ Matcha lava

ตัวเค้ก Matcha lava โดนคลุมด้วยช็อคโกแลตพอตัดทีตัวลาวาข้างในก็ไหลทะลักออกมา โดยลาวาที่ไหลออกมาไม่ได้มีแค่รสชาติหวานอย่างเดียวแต่มีรสขมของมัทฉะด้วย เมื่อได้กินคู่กันกับไอศกรีมวนิลาก็เข้ากันจริงๆ เค้กลาวาอุ่นๆกับไอศกรีมเย็นๆ ความหอมขมของมัทฉะกับความหวานละมุนของวนิลา 2 ขั้วที่แตกต่างแต่เมื่อมารวมกันก็ได้รสชาติที่กลมกล่อมผสมผสานกันได้ดี แถมได้ปิดท้ายด้วยชาร้อนอีกแก้วก็เป็นความฟินของอาหารมื้อนี้มากๆ

Chef's Table

Chef’s Table – Matcha lava กับ ไอศกรีมวนิลา

การได้มาทานอาหารแบบ Chef’s Table กับ เชฟอาร์ต ในครั้งนี้นับเป็นประสบการณ์ที่เหนือคำบรรยายมาก ความส่วนตัวเป็นกันเองของเชฟที่ได้พูดคุยให้ความรู้เล่าเรื่องราวต่างๆ มันให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนเราได้ไปทานข้าวที่บ้านเพื่อน(ที่เพื่อนทำอาหารได้เก่งมากๆ ^^) เราได้เห็นการทำอาหารของเชฟอย่างใกล้ชิด ได้เห็นเทคนิคและความคิดสร้างสรรค์ในการปรุงอาหารแต่ละจาน การที่เชฟมุ่งมั่นค่อยๆทำอาหารอย่างประณีตและตั้งใจ ทำให้เราได้เรียนรู้และเพลิดเพลิน เหมือนกำลังได้ชื่นชมศิลปินคนนึงที่กำลังสร้างสรรค์ผลงานศิลปะชั้นยอดอยู่ตรงหน้าเรา

สำหรับผู้สนใจ Chef’s Table โดย เชฟอาร์ต ศุภมงคล ศุภพิพัฒน์ ก็สามารถไปติดตามเรื่องราวเพิ่มเติมของเชฟกันได้นะครับที่
Instagram : cheffyart
Line ID : cheftablebyart

เชฟอาร์ต-Chef's Table

Chef’s Table กับ เชฟอาร์ต Bon Appétit ครับ